Search
× Search
Menu
  1. หน้าแรก
  2. เกี่ยวกับเรา
  3. ข่าวสาร
  4. ระบบสารสนเทศ
  5. บริการ
  6. ติดต่อ

ข่าวหน่วยงาน

อโรคยศาล สถานที่รักษาโรคทางกายและจิตใจ

อโรคยศาล สถานที่รักษาโรคทางกายและจิตใจ

บทความโดย นางสาวปวิตรา กองรัมย์ นิสิตฝึกงาน ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

Author: Aekmongkol/Monday, August 26, 2024/Categories: บทความ

           “อโรคยศาล” ก็คือสถานที่รักษาโรคหรือสถานพยาบาล จากข้อมูลของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นำมาแปลเป็นภาษาไทยโดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล และ ฉ่ำ ทองคำวรรณโดยระบุไว้ว่า อโรคยศาลถูกสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 มาจากอารยธรรมขอมในช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยุคนั้นมีการเกณฑ์ผู้คนมากมายในการสร้างปราสาท วิหาร การก่อสร้างก็ใช้ระยะเวลาในการสร้างยาวนานหลายสิบปี ผู้คนมากมายต่างก็ล้มป่วยด้วยโรคต่าง ๆ จึงเกิดความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้ามีการก่อสร้างปราสาทต่าง ๆ ให้จัดทำสถานที่อภิบาล บำบัดรักษาผู้ป่วยก่อน  ซึ่งสถานที่นี้เรียกกันว่า อโรคยศาล เพื่อให้ผู้คนหายจากอาการเจ็บป่วยและมีเรี่ยวแรงในการสร้างปราสาทสร้างวิหารให้สำเร็จต่อไป

(ภาพจาก โอภาส จริยพฤติ 2564).

ที่มา : https://readthecloud.co/arokaya-sala/


           ซึ่งอโรคยศาล แปลได้ว่า ศาลาไร้โรค หรือถ้าเข้าใจง่าย ๆ ก็คือสถานพยาบาลในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีสถานที่เคารพบูชาที่เชื่อว่าสามารถรักษาโรคให้หายได้ซึ่งเป็นความเชื่อของคนในยุคนั้น ก็คือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา ซึ่งมีความเชื่อกันว่ามีอนุภาพในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ บ้างก็ถือกันว่าเป็นชยานิพุทธเจ้า มักทำเป็นรูปพระพุทธรูปทรงเครื่องปางนาคปรก แม้ว่าบางรูปจะไม่ปรากฏพังพานนาค (นาคที่แผ่ออกคล้ายกับงูเห่าที่แผ่แม่เบี้ย) แต่ยังคงมีขนดหางนาค (ตัวงูที่ขด/โคนหางงู) จะแตกต่างจากพระพุทธรูปนาคปรก ก็คือภายในพระหัตถ์ที่ประสานกันเหนือพระเพลา มีวัตถุรูปกรวยอยู่ภายในวัตถุนี้อาจเป็นยา หรือดอกไม้ ส่วนรูปพระไภษัชยคุรุ ฯ จะประดิษฐานอยู่ในวิหารของสถานพยาบาล รูปพระไภษัชยคุรุ ฯ บางครั้งพบว่าไม่ได้ทำเป็นพระพุทธรูปนาคปรก แต่จะทำเป็นปางสมาธิมีวัตถุรูปกรวยอยู่ในพระหัตถ์ ประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งลักษณะนี้มักจะพบเป็นบันแถลงประดับยอดปราสาท เช่น ที่พบที่วัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย และที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย

(ซ้าย) บันแถลงสลักภาพพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย (ขวา) ประติมากรรมสำริดภาพพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหาวีรวงศ์

(ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2537).

ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_95366

 

           ภายนอกอาณาจักรพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงวางรากฐานด้านการคมนาคมและสาธารณสุขด้วยการสร้างธรรมศาลาหรือที่พักของนักเดินทาง 121 แห่งตามเส้นทางโบราณจากศูนย์กลางเมืองพระนคร (นครธม) ไปยังเมืองโดยรอบหนึ่งในนั้นคือเมืองพิมาย ซึ่งเป็นเขตประเทศไทยในปัจจุบันและยังโปรดเกล้าให้สร้างอโรคยศาลเพิ่มอีก 102 แห่งตามเมืองต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรหมและปราสาทพระขรรค์  ซึ่งจำนวนนั้นอยู่ในประเทศไทยถึง 30 แห่งด้วยกันกระจายตัวอยู่ 8 จังหวัด คือ จังหวัดขอนแก่น (กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย อำเภอน้ำพอง) มหาสารคาม ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ ศรีสะเกษ และปราจีนบุรี 

           จากจารึกที่พบจำนวนมากในประเทศไทย เช่น จารึกพิมาย จารึกปราสาท เป็นต้น ได้พบสาเหตุการสร้างอโรคยศาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ดังความตอนหนึ่งว่า “โรคทางกายของปวงชนนี้ เป็นโรคทางใจที่เจ็บปวดยิ่ง แม้มิใช่ความทุกข์ของพระองค์เอง แต่ความทุกข์ของราษฎร์เปรียบเหมือน ความทุกข์ของผู้ปกครอง”  ไม่เพียงเท่านี้ ในจารึกยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ของอโรคยศาลด้วย ทั้งรูปเคารพเจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาล ซึ่งแจกแจงทั้งจำนวนและหน้าที่เอาไว้แล้ว ทั้งแพทย์ ผู้จดสถิติ ผู้ดูแลทรัพย์ ผู้หาข้าวเปลือก ผู้หาฟืน ผู้ตำข้าว ผู้หุงต้ม ผู้จ่ายยา ผู้โม่ยา โหราจารย์ และผู้ประกอบพิธี โดยจะมีจำนวนบุคลากรตั้งแต่ 50 ไปจนถึง 98 คนต่อหนึ่งสถานพยาบาลและยังให้รายละเอียดของสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคเอาไว้ด้วย เช่น น้ำผึ้ง พริกไทยขาว จันทน์เทศ มหาหิงค์ กระวาน การบูร บุนนาค (สารภีดอย หรือ นาคบุตร เป็นไม้ยืนต้น เนื้อแข็ง ดอกหอม) ขิง เป็นต้น สมุนไพรเหล่านี้สามารถเบิกจากท้องพระคลังได้ปีละ 3 ครั้ง เพื่อบูชายัญและส่วนที่เหลือจะบริจาคให้คนไข้ สาเหตุที่กษัตริย์พระราชทานยาสมุนไพรที่กล่าวไว้ในจารึกซึ่งสันนิษฐานได้ว่า การเข้ามาของวัฒนธรรมอินเดียโบราณภายใต้ศาสนาพรหมณ์ได้นำความรู้ทางด้านการแพทย์แบบอายุรเวทมาใช้ด้วย ซึ่งการแพทย์แบบนี้เป็นการรักษาแบบทฤษฎีธาตุคือการอธิบายภาวะของการเจ็บป่วยของผู้คนจากความไม่สมดุลของธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ สมุนไพรที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรที่ใช้ปรับธาตุต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายและสมุนไพรบางชนิดจะเป็นเครื่องเทศที่ใช้ประกอบอาหารตามรายชื่อของพืชบางชนิด เช่น ผักทอดยอด ที่ปรากฏในจารึกเมืองพิมายและจารึกปราสาทตาเมือนโตจ แปลได้ว่า ผักบุ้ง อาจจะหมายถึง เถาสะค้าน เป็นสมุนไพรประจำธาตุลม มีลักษณะทอดยอดไปตามต้นไม้ใหญ่ ซึ่งสมุนไพรต่าง ๆ ตามจารึกเหล่านี้ก็ยังคงใช้เป็นส่วนผสมของยาแผนโบราณมาจนถึงปัจจุบัน

           จากจารึกที่พบเข้าใจได้ว่า การแพทย์เขมรโบราณได้ผสมผสานระหว่างอายุรเวทผสมผสานกับการใช้สมุนไพรท้องถิ่นนั้น ๆ ตามประสบการณ์ของแพทย์ท้องถิ่น ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ลักษณะการแพทย์แบบนี้จะไม่มีการถ่ายทอดอย่างเปิดเผยเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากตำรายามักจะเป็นที่หวงแหนไม่ถ่ายทอดกันง่าย ๆ หากไม่ได้ทำพิธีเรียนต่อครูนั้นถือว่าผิดครู คำว่าครูของเขมรโบราณนั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกหมอมาจนถึงปัจจุบัน ครูในลักษณะนี้จะไม่ใช่หมอรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีพลังลึกลับ อำนาจเหนือธรรมชาติ และเวทมนตร์ ควบคู่ไปกับการรักษาโดยใช้ยา พร้อมกันนั้นครูจะต้องมีคุณธรรมเป็นวัตรปฏิบัติ ซึ่งมักจะพบหลักฐานระบุคำว่า บรมครู ในจารึกต่าง ๆ อโรคยศาล เมื่อครั้งยังสมบูรณ์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรกก็จะเป็นสถานพยาบาลที่สร้างด้วยไม้ ซึ่งใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยจริง ๆ และส่วนที่สองคือเทวาลัยหรือวัดที่อยู่ในสถานพยาบาลแต่ด้วยสภาพอากาศแบบร้อนชื้น อาคารที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อกว่า 800 ปีก่อน ย่อมสูญสลายไปตามกาลเวลาเหลือเพียงแต่ศาสนสถานประจำสถานพยาบาลหรือสุคตาลัยเท่านั้น (สุคตาลัย แปลว่า ที่ประทับของพระสุคตซึ่งเป็นอีกพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า) และอาคารเหล่านี้ที่เราเรียกกันว่า อโรคยศาล จุดเด่นของอโรคยศาล ที่สร้างขึ้นในศิลปะแบบขอมบายน จะมีลักษณะเหมือนกันหมด ทั้งการวางผัง ทั้งอาคาร เพราะไม่ว่าจะเป็นอโรคยศาลที่อยู่ในประเทศกัมพูชาหรือในประเทศไทย ก็ล้วนแต่มีหน้าตาที่เหมือนกัน มีองค์ประกอบเดียวกัน ซึ่งถ้าหากได้ไปอโรคยศาลก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าที่แห่งนี้เป็น อโรคยศาล

           อโรคยศาล จะมีปราสาทประธานองค์เดียวหันไปทางด้านทิศตะวันออก  มีบรรณาลัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาท หันหน้ามายังปราสาทประธาน และมีกำแพงล้อมรอบอาคารทั้งหมดเอาไว้ โดยที่มีซุ้มประตูทางเข้าหรือโคปุระอยู่ทางด้านหน้า บางครั้งจะมีประตูเล็ก ๆ อยู่ข้างโคปุระเป็นเหมือนทางเข้าออก นอกกำแพงมีสระน้ำอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างไรก็ตามอโรคยศาลในประเทศกัมพูชาและประเทศไทยก็ยังมีความต่างกันอยู่ แม้ว่าแผนผังหน้าตาอาคารเหมือนกันแต่วัสดุที่ใช้สร้างในสองประเทศกับใช้วัสดุคนละแบบกันในกัมพูชา อโรคยศาลสร้างด้วยหินทราย ซึ่งเป็นวัสดุแบบเดียวกับที่ใช้สร้างปราสาทหินแบบอื่น ๆ ในศิลปะขอมโบราณแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้งานมีความละเอียดมากกว่าแต่อโรคยศาลในไทยมักจะสร้างด้วยศิลาแลง ยกเว้นแต่ส่วนที่จะต้องแกะสลัก เช่น ทับหลัง จะใช้หินทรายเพราะแกะสลักง่ายกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะจำเป็นต้องเร่งสร้างให้เสร็จตามกำหนดก็เป็นได้

          นอกจากนี้ ในอโรคยาศาลยังพบรูปเคารพประดิษฐานไว้สำหรับบูชา ซึ่งมีจารึกระบุข้อความแสดงความนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าผู้มีกายทั้งสาม คือ นิรมาณกาย ธรรมกาย และสัมโภคกาย และคำนมัสการอื่น ๆ อีก และมีการกล่าวถึงพระกรณียกิจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในการสร้างอโรคยศาล และระบุจำนวนเจ้าหน้าที่ประจำอโรคยศาล และรายการสมุนไพรที่ใช้ไว้อย่างละเอียด และเชื่อว่าการสร้างอโรคยศาลของพระองค์อาจเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญพระราชกุศลเพื่อพระองค์เอง หรืออาจจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชวรด้วยโรคร้าย จากการสันนิษฐานภาพสลักบนหน้าบันศาสนสถานในอโรคยศาล ทางทิศตะวันออกของปราสาทตาแก้วในเมืองพระนคร ซึ่งคล้ายกับที่พบในปราสาทบายนเป็นภาพของการบำบัดรักษาโรคเรื้อนด้วยลูกกระเบา สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคนี้ตามการแพทย์แผนโบราณ ดังนั้น โรคร้ายดังกล่าวอาจเป็นโรคเรื้อน

(ภาพจาก disthai)

ที่มา : https://thai-herbs.thdata.co/page/กระเบา/


           ซึ่งลูกกระเบาที่กล่าวถึง เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย ซึ่งพบมากในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณประเทศ ไทย กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย และมีการขยายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียงโดยจะสามารถพบได้ตามเขาหินปูน ป่าดิบ และตามชายป่าริมน้ำทั่วไป สำหรับประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ

           ซึ่งจากงานวิจัยพบว่ากระเบามีสรรพคุณมากมายในการรักษาโรค เช่น โรคเรื้อน ซึ่งเป็นหนึ่งโรคที่ปรากฏอยู่ในจารึกปราสาทบายน โดยการรักษาโรคเรื้อนในสมัยนั้นคาดว่าน่าจะนำ ใบกระเบาสดมาตำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล และน้ำมันจากเมล็ดผสมกับน้ำนมและน้ำเชื่อมทั้งหมดผสมกันใช้ดื่มหลังอาหาร 3 เวลา ซึ่งจากภูมิปัญญาในสมัยนั้นจนมาถึงสมัยนี้ก็ยังมีการใช้กระเบาในการรักษาโรคเรื้อนและโรคอื่น ๆ ซึ่งมีการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่าง ๆ ของกระเบา พบว่ามีสารสำคัญหลายชนิดเช่น เมล็ดและใบสดมีสารที่เรียกว่า Hydrocyanic acid (ไฮโดรเจนไซยาไนด์) ซึ่งเป็นสารที่มีเป็นพิษมีความเป็นกรด ส่วนน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดเรียกว่าน้ำมันกระเบา ซึ่งจะเห็นได้ว่าการรักษาโรคในอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้สมุนไพรบางชนิดในการรักษาโรคต่าง ๆ ปัจจุบันอโรคยศาลหลายแห่งก็ยังคงทำหน้าที่เหล่านั้นอยู่เช่นเดิม ในขณะที่อีกหลายแห่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากร ทำให้เราได้เห็นรูปร่างที่แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นความทรงจำจากอดีตของสถานพยาบาลและวัดประจำสถานพยาบาลนั้นที่ส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน

           ดังนั้นอโรคยศาล จึงเปรียบเสมือนสถานที่รักษาโรคทางกายและจิตใจซึ่งเป็นการรักษาโดยใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนโบราณในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการเคารพบูชาพระพุทธเจ้าเพราะเชื่อว่าสามารถรักษาโรคซึ่งแม้ว่าวิธีการบางอย่างอาจดูขัดกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น พิธีกรรมเพื่อปัดเป่าโรคภัยแต่ในด้านของการใช้สรรพคุณทางยาของสมุนไพร เช่น การใช้ลูกกระเบา สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถบำบัดรักษาโรคได้จริง อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษยุคก่อน และสามารถต่อยอดใช้ได้จริงในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังมีอโรคยศาลดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ในจังหวัดขอนแก่น คือ อโรคยศาลแก้วกู่ ด้วยเหตุนี้จึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ณ อโรคยศาลวัดคำประมง ตำบลสว่าง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นอโรคยศาลที่ยังมีการรักษาแบบผสมผสานแนวทางการรักษาแบบแผนไทย แผนจีน แผนตะวันตก และการรักษาอื่น ๆ ตามแนวทางของแพทย์ทางเลือก โดยยึดความประสงค์ของผู้ป่วยเป็นที่ตั้งเป็นความสมัครใจของผู้ป่วยเองในการที่จะเลือกแนวทางการรักษา เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

 

บรรณานุกรม

        ดิสไทย.  (2560).  กระเบา ประโยชน์ดีๆสรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย.  สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2567, จาก https://www.disthai.com/17226054/กระเบา

        ธนภัทร ลิ้มหัสนัยกุล.  (2564).  อโรคยศาล ศาลาไร้โรค.  สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2567, จาก https://readthecloud.co/arokaya-sala/

        พีรพน พิสณุพงศ์ และสุภาภรณ์ ปิติพร.  (2566).  โรงพยาบาลกับสมุนไพร สมัยดึกดำบรรพ์ : จากจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่พบในประเทศไทย.  สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2567, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_95366

        วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์.  (2562).  อโรคยศาล.  สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2567, จาก https://readthecloud.co/arokayasarn-kampramong-temple/

 

Print

Number of views (3577)/Comments (0)

สถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาคารหลวงสวัสดิสารศาสตรพุทธิ (อาคาร 3)
114 ซอยสุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์ : 0 2649 5000 ต่อ 12065, 15306
โทรสาร : 0 2261 2096
อีเมล : icaswu@gmail.com

Terms Of UsePrivacy Statement© 2024 Copyright ICASWU
Back To Top